วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

5 Tips on How to Present Like Steve Jobs

Whenever I’m asked to speak to a group -- whether it’s a large gathering like a college commencement, or a smaller one like those found at a local chamber of commerce’s monthly breakfast -- I think of Steve Jobs, the master presenter. The co-founder of Apple didn’t just focus on statistics or technology in his communications; he sold the benefits of his company’s products.
Take a quick look at Jobs’ keynote address introducing the iPhone during the 2007 Macworld Conference & Expo. Visuals were used to illustrate a point, not to fill space or entertain. And no matter how brief or long the Jobs-led dog-and-pony show, you left the venue with a full understanding of what was presented.
We can all take some communications cues from Steve Jobs. Here are five that I recently came across from Jim Confalone, co-founder and creative director of ProPoint Graphics, a New York-based professional presentation design firm. 
1. Know the one critical point in your presentation -- then make it clear. Steve Jobs recognized that the human mind couldn’t process a mountain of material in one sitting. Any information or data that isn’t driving a specific message can be a distraction that weakens the impact of your presentation. Use only visuals that support your one point.
2. Acknowledge why people are listening to you. Your audience is in the room for a particular reason. It’s critical to understand why they’re listening to you so you can tune your presentation in a manner that makes them more receptive listeners. The same talk might play out very differently if it’s given to shareholders, engineers or sales people.
3. Make an immediate, personal connection. Jobs always began by trying to make an emotional connection with the audience, even though his goal was to sell technology. This connection builds empathy, which in turn encourages your audience to be more receptive to what you have to say.
4. Keep the audience focused on you the speaker, not your presentation. The audience isn’t there to look at your slides. They’re there to see and listen to the presenter. Keep their focus on you. That may mean bringing a prop to hold up and draw their attention to, or it may mean inserting a blank slide into your presentation so that the audience is forced to look at you. Steve Jobs often did this — again, drawing the audience’s attention to himself.
5. Know your story. You should know your content so completely that you are comfortable giving your presentation with no visuals at all. Steve Jobs was notoriously meticulous about his preparation, scripting everything. Other presenters prefer to have an element of spontaneity or improvisation. Regardless of your style, mastery of your story affords you the luxury of calm and clarity, essential components to a great presentation.
cr.http://www.entrepreneur.com/blog/223513


เมื่อใดก็ตามที่ฉันขอพูดกับกลุ่ม - ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่เช่นการชุมนุมเริ่มวิทยาลัยหรือหนึ่งมีขนาดเล็กเช่นที่พบที่ห้องท้องถิ่นของอาหารเช้าของการค้ารายเดือน - ผมคิดว่าสตีฟจ็อบส์พรีเซนเตอร์หลัก ผู้ร่วมก่อตั้งของแอปเปิ้ลไม่ได้เพียงมุ่งเน้นสถิติหรือเทคโนโลยีในการสื่อสารของเขา เขาขายประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ของ บริษัท
ใช้เวลาดูอย่างรวดเร็วที่งาน 'ปาฐกถาพิเศษแนะนำ iPhone ในช่วงนิตยสาร Conference & Expo 2007 ภาพถูกนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นจุดไม่ได้ที่จะเติมช่องว่างหรือความบันเทิง และไม่ว่าสั้นหรือยาวการแสดงสุนัขและม้างานนำคุณออกจากสถานที่จัดงานมีความเข้าใจที่เต็มรูปแบบของสิ่งที่ถูกนำเสนอ
เราทุกคนสามารถใช้ชี้นำการสื่อสารจากสตีฟจ็อบส์ ที่นี่มีห้าที่ฉันเพิ่งมาข้ามจากจิม Confalone, ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการสร้างสรรค์ของ ProPoint กราฟิก บริษัท ออกแบบการนำเสนอนิวยอร์กตามที่เป็นมืออาชีพ
1. รู้จุดสำคัญหนึ่งในการนำเสนอของคุณ - แล้วทำให้มันชัดเจน สตีฟจ็อบส์ได้รับการยอมรับว่าจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถประมวลผลภูเขาของวัสดุในหนึ่งนั่ง ข้อมูลใด ๆ หรือข้อมูลที่ไม่ได้ขับรถข้อความที่เฉพาะเจาะจงอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวที่อ่อนตัวจากผลกระทบของการนำเสนอของคุณ ใช้ภาพเดียวที่สนับสนุนจุดหนึ่งของคุณ
2. รับทราบว่าทำไมผู้คนกำลังฟังคุณ ผู้ชมของคุณอยู่ในห้องด้วยเหตุผลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันสำคัญที่จะเข้าใจว่าทำไมพวกเขากำลังฟังคุณเพื่อให้คุณสามารถปรับแต่งนำเสนอของคุณในลักษณะที่ทำให้พวกเขาฟังเปิดกว้างขึ้น พูดคุยกันอาจจะเล่นออกแตกต่างกันมากถ้ามันให้กับผู้ถือหุ้นวิศวกรหรือคนขาย
3. ตรวจสอบให้ทันทีเชื่อมต่อส่วนบุคคล งานมักจะเริ่มต้นด้วยการพยายามที่จะทำให้การเชื่อมต่อทางอารมณ์กับผู้ชมถึงแม้ว่าเป้าหมายของเขาคือการขายเทคโนโลยี การเชื่อมต่อนี้สร้างความเห็นอกเห็นใจซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ผู้ชมของคุณจะเปิดกว้างมากขึ้นกับสิ่งที่คุณจะพูด
4. ให้ผู้ชมได้มุ่งเน้นไปที่คุณพูดไม่ได้นำเสนอของคุณ ผู้ชมไม่ได้มีการมองไปที่ภาพนิ่งของคุณ พวกเขากำลังมีที่จะเห็นและฟังพรีเซนเตอร์ ให้ความสำคัญของพวกเขากับคุณ ที่อาจหมายถึงการนำเสาที่จะถือขึ้นและดึงความสนใจของพวกเขาไปหรือมันอาจหมายถึงการใส่สไลด์ที่ว่างเปล่าในงานนำเสนอของคุณเพื่อให้ผู้ชมถูกบังคับให้มองไปที่คุณ สตีฟจ็อบส์มักจะทำอย่างนี้ - อีกครั้งดึงความสนใจของผู้ชมกับตัวเอง



5. รู้เรื่องราวของคุณ ที่คุณควรรู้เนื้อหาของคุณเพื่อให้สมบูรณ์ที่คุณมีความสะดวกสบายให้นำเสนอของคุณด้วยภาพในทุก สตีฟจ็อบส์เป็นฉาวโฉ่พิถีพิถันเกี่ยวกับการเตรียมของเขาเขียนสคริปต์ทุกอย่าง พิธีกรอื่น ๆ ชอบที่จะมีองค์ประกอบของความเป็นธรรมชาติหรือการปรับตัว โดยไม่คำนึงถึงสไตล์ของคุณการเรียนรู้เรื่องราวของคุณให้คุณมีความหรูหราขององค์ประกอบที่สำคัญในความสงบและความชัดเจนที่จะมีการนำเสนอที่ดี


how to present succesfully

  1. Above all, consider the audience. Remember the rule: ‘Its not about you, its about them’
  2. Keep to three main points
  3. Introduce yourself
  4. Finish on Time
  5. Look them in the eyes!
  6. Rehearse properly (dress rehearsal)
  7. If in doubt, cut it out
  8. Repeat questions from the audience (buys you time, checks your understanding of what they are asking, ensures everyone in the audience gets to hear the question)
  9. You are not supposed to know everything. It is acceptable to say ‘I don’t know, let me find out and get back to you’, or perhaps even more useful, reflect it back to the audience member by saying: ‘I don’t know, what do you think?’
  10. Have an objective for the meeting
  11. They will only remember 10% of what you say
  12. They are allowed to r; with you
  13. Interact with the audience throughout
  14. Have a friend there to keep notes
  15. The friend can also keep track of time
  16. Summarise at the end
  17. Thank them for listening to you
  18. Stay around afterwards for questions
  19. Give them your (e‐mail) address
Follow up afterwards with a note or e mail thanking them for inviting you 

credit:http://www.inspirechange.com/healthcare-professionals/top-tips/20-tips-how-to-present-successfully/

..
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แปล
หนทางการนำเสนองานสู่ความสำเร็จ
  1. นอกเหนือจากสิ่งอื่นใด ควรจะจดจำไว้ว่า มันไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพื่อพวกเขา(ในที่นี่คงจะหมายถึงเนื่้องานที่จะนำเสนอละมั้งคะ)
  2. อธิบายโดยมีสามหัวข้อหลักสำคัญ
  3. แนะนำตัวของคุณเอง
  4. ควรนำเสนองานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
  5. มองตาของผู้ฟัง(ข้อนี้สำคัญมาก!)
  6. ควรฝึกสิ่งที่จะพูดให้เชี่ยวชาญ จะได้ไม่พลาดเวลานำเสนอจริง
  7. หากมีข้อสงสัยควรตัดมันออกไปก่อนแล้วนำเสนองานให้เสร็จ
  8. หลังจากนั้นถามคำถามซ้ำใหม่จากผู้ฟัง(ควรเหลือเวลาไว้เพื่อเช็คความเข้าใจและไขข้อสงสัยของคำถามที่ผู้ฟังถาม เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจในสิ่งที่ถาม)
  9. คุณไม่ควรจะรู้ทุกอย่าง มันเป็นที่ยอมรับที่จะพูดว่า 'ผมไม่ทราบว่าให้ฉันหาและได้รับกลับมาให้คุณ' หรือบางทีอาจจะได้ประโยชน์มากขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงกลับไปยังสมาชิกผู้ชมด้วยการพูดว่า: 'ผมไม่ทราบว่าสิ่งที่คุณคิด ?
  10. ควรมีจุดประสงค์สำหรับการประชุม
  11. พวกเขาจำได้เพียง10%ที่คุณนำเสนอ
  12. ผู้ฟังมีสิทธิ์ที่จะแย้งสิ่งที่คุณนำเสนอ
  13. คุณควรคุยโต้ตอบกับผู้ฟังสม่ำเสมอ
  14. คุณควรมีเพื่อนเพ่ือคอยบอกเวลาที่เหลือ
  15. และควรมีเพื่อนอยู่ที่นั่นเพื่อเก็บบันทึก
  16. คุณควรสรุปในตอนท้าย
  17. ขอบคุณผู้ฟังสำหรับการรับฟังการนำเสนอของคุณ
  18. คอยเดินสำรวจอยู่รอบๆเพื่อหาผู้ที่มีข้อสงสัย
  19. ให้เมลล์คุณกับเขาไป
  20. คอยติดตามหลังจากนั้นด้วยการบันทึกหรือ e-mail ขอบคุณพวกเขาสำหรับการเชิญชวนให้คุณมานำเสนองานให้เขา

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หน่วยความจำรอง (Secondary Memory)


        หน่วยความจำรอง เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บข้อมูล และโปรแกรมที่ต้องการใช้งานในคราวต่อไปได้ ซึ่งสามารถบรรจุข้อมูลและโปรแกรมได้เป็นจำนวนมาก เป็นหน่วยเก็บข้อมูลถาวรที่ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลและคำสั่งที่อยู่ในหน่วยความจำแรม ขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานมาจัดเก็บไว้ได้ด้วยคำสั่งบันทึกของโปรแกรมประยุกต์ ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกข้อมูลและคำสั่งมาใช้ในภายหลัง ซึ่งหน่วยความจำรองมีความจุข้อมูลมากกว่าหน่วยความจำหลักและมีราคาถูกกว่า แต่เข้าถึงข้อมูลได้ช้ากว่าหน่วยความจำแรม อุปกรณ์หน่วยความจำรองที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้ 

1. ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) 

        เป็นอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลได้มาก สามารถเก็บได้อย่างถาวร โดยไม่จำเป็นต้องมีไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา เมื่อปิดเครื่องข้อมูลก็จะไม่สูญหาย จึงถูกจัดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บระบบปฏิบัติการ โปรแกรม และข้อมูลต่าง ๆ ฮาร์ดดิสก์มีหน่วยความจุตั้งแต่เป็นไบต์ เมกะไบต์ จนถึงจิกะไบต์ หากเครื่องคอมพิวเตอร์มีความจุของฮาร์ดดิสก์มากก็จะทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มาก 
ฮาร์ดดิสก์ 


        ฮาร์ดดิสก์ ทำจากแผ่นจานแม่เหล็กวางซ้อนกันหลาย ๆ แผ่น โดยที่ทุกแทรกและเซกเตอร์ที่มีตำแหน่งตรงกันของฮาร์ดดิสก์ในชุดหนึ่งจะเรียกว่าไซลินเดอร์ แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนเร็วมาก โดยที่หัวอ่านและบันทึกจะไม่ไปสัมผัสกับผิวของจานแม่เหล็ก ดังนั้นหากหัวอ่านและบันทึกมีฝุ่นสะสมอยู่มาก หัวอ่านและบันทึกจะไปสัมผัสกับผิวของจานแม่เหล็ก ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการเรียกใช้ข้อมูลหรือเกิดความเสียหายได้

การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ 

        1. ควรเลือกฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุและความเร็วเหมาะสมกับลักษณะงานที่ใช้ เช่น งานพิมพ์เอกสาร ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นอินเทอร์เน็ต ควรมีความจุ 0-10 GB/5,400 RPM งานกราฟิก ตกแต่งภาพความละเอียดสูง เล่นเกม ความจุ 200-250 GB/7,200 RPM และงานสร้างมัลติมีเดีย ตัดต่อเสียงและวีดิโอ ควรมีความจุตั้งแต่ 320 GB ขึ้นไป/10,000 RPM เป็นต้น

        2. ควรเลือกฮาร์ดดิสก์ที่มีการรับประกัน

การดูแลรักษาฮาร์ดดิสก์ 

        1. ควรสแกนหาไวรัสเป็นประจำทุกสัปดาห์ หรือติดตั้งดปรแกรมสแกนไวรัสประจำเครื่องคอมพิวเตอร์และปรับปรุงโปรแกรมสแกนไวรัสอยู่เสมอ

        2. ควรลบไฟล์ขยะเป็นประจำทุกวันหรือทุกสัปดาห์ โดยการเรียกใช้โปรแกรมอรรถประโยชน์ของวินโดว์ ได้แก่ Disk Cleanup

        3. ควรสแกนดิสก์หาพื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ที่บกพร่อง ซึ่งมักเกิดจากการปิดเครื่องโดยไม่ได้ Shut down หรือไฟดับกะทันหัน ซึ่งทำได้โดยการเรียกใช้โปรแกรม Check Disk

        4. ควรจัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ให้เป็นระเบียบ เพื่อเพิ่มเนื้อที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์และเข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ได้รวดเร็วขึ้น โดยการเรียกใช้โปรแกรมยูทิลิที้ของวิโดวส์ได้แก่ Disk Defragmenter ซึ่งควรทำอย่างน้อยเดือนละครั้ง



2. ออปติคัลดิสก์ 

        ออปติคัลดิสก์ เป็นหน่วยความจำรองที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ในการบันทึกข้อมูล ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากกว่าฮาร์ดดิสก์ธรรมดา ออกติคัลดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้

        2.1 ซีดีรอม (CD-Rom : Compact Disk-Read-Only Memory) เป็นหน่วยความจำรองที่บันทึกได้เพียงครั้งเดียว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเหล่านั้นได้รวมทั้งไม่สามารถบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมได้ ซีดีรอมไดร์ฟรุ่นแรกสุดนั้นมีความเร็วในการอ่านข้อมูลที่ 150 กิโลไบต์ต่อวินาที เรียกว่า มีความเร็ว 1 เท่าหรือ 1X ซึ่งซีดีรอมไดร์ฟรุ่นหลัง ๆ ก็จะอ้างอิงความเร็วใจการอ่านข้อมูลจากรุ่นแรกเป็นหลัก เช่น ความเร็ว 52 เท่า (52X) เป็นต้น


ซีดีรอม

        2.2 ซีดีอาร์ (CD-R : Compact Disk Recordable) เป็นหน่วยความจำรองที่เขียนข้อมูลลงแผ่นแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเหล่านั้นได้ แต่ผู้ใช้สามารถบันทึกข้อมูลลงแผ่นเดิมได้จนกระทั่งแผ่นเต็ม


ซีดีอาร์ 

        2.3 ซีดีอาร์ดับบลิว (CD-RW : Compact Disk Rewrite) หน่วยความจำที่สามารถเขียนข้อมูลลงแผ่น และสามารถเขียนข้อมูลใหม่ทับลงในแผ่นเดิม หรือผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเนื้อหาต่าง ๆ ภายในแผ่นซีดีอาร์ดับบลิวได้คล้ายแผ่นฟลอปปี้ดิสก์

ซีดีอาร์ดับบลิว


        2.4 ดีวีดี (DVD : Digital Video Disk) เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมแทนแผ่นซีดี เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลมาใช้มากขึ้น ซึ่งดีวีดีหนึ่งแผ่น สามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ 4.7 กิโลไบต์ นิยมใช้บันทึกภาพยนตร์ หลังจากที่บันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดีแล้ว ผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดีวีดีมี 3 ชนิดได้แก่

            1) ดีวีดีรอม (DVD-ROM) ส่วนมากใช้กับการเก็บภาพยนตร์ที่มีความยาวเกินกว่าสองชั่วโมง

ดีวีดีรอม

            2) ดีวีดี-อาร์ (DVD-R) ใช้ในการเก็บข้อมูลที่มีปริมาณมาก และราคาสูงกว่าดีวีดีรอม

ดีวีดี-อาร์



            3) ดีวีดี-อาร์ดับบลิว (DVD-RW) เป็นเทคโนโลยีแบบแสงมีเครื่องอ่านดีวีดีแรมที่ให้ผู้ใช้บันทึก ลบ และบันทึกข้อมูลซ้ำลงบนแผ่นเดิมได้

ดีวีดี-อาร์ดับบลิว


            2.5 บลูเรย์ดิสก์ (Blue Ray Disk) เป็นเทคโนโลยีแบบแสงล่าสุดที่สามารถบันทึกข้อมูลความละเอียดสูงได้ถึง 100 กิกะไบต์ ให้ภาพและเสียงที่คมชัด มักนำไปใช้ในการบันทึกภาพยนตร์ แต่แผ่น บลูเรย์ดิสก์จะมีราคาแพง 

บลูเรย์ดิส 

การเลือกซื้อออปติคัลดิสก์ 

        1. ควรซื้อแผ่นที่ใส่ในหลอดแผ่นซีดี แบบ 50 แผ่น ไม่ควรซื้อแบบใส่ซองพลาสติก แบบซ้อนกันขาย เนื่องจากอาจเกิดรอยขีดข่วนบนแผ่นได้

        2. ควรเลือกสีเคลือบด้านบนที่เป็นมันวาว จะไม่สึกกร่อนง่าย

การดูแลรักษาออปติคัลดิสก์ 

        1. เก็บแผ่นไว้ในกล่องหรือซองที่มิดชิด เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและรอยขีดข่วน

        2. ควรเช็ดทำความสะอาดแผ่นก่อนใช้

        3. ควรตรวจเช็คว่าแผ่นซีดีนั้นยังสามารถอ่านได้อยู่เสมอ และประมาณ 2 ปี ควรนำแผ่นข้อมูลสำคัญมาบันทึกใหม่


3. อุปกรณ์หน่วยความจำแบบแฟลช 

        อุปกรณ์หน่วยความจำแบบแฟลช (flash memory device) แฟลชไดร์ฟ (flash drive)

        ธัมไดร์ฟ (thumb drive) หรือแฮนดี้ไดร์ฟ (handy drive) เป็นความจำประเภทรอมที่เรียกว่า อีดีพร็อม (Electrically Erasable Programmable Read Only Memory : EEPROM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ สามารถเก็บข้อมูลได้เหมือนฮาร์ดดิสก์ คือ สามารถเขียนและลบข้อมูลได้ตามต้องการ และเก็บข้อมูลได้แม้ไม่ได้ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาได้สะดวก



ธัมไดร์ฟ

การเลือกซื้ออุปกรณ์หน่วยความจำแบบแฟลช 

        1. ควรเลือกที่มีความแข็งแรงขนาดไม่ใหญ่เกินไป และฝาปิดควรให้เชื่อมต่อกับตัวหน่วยความจำ เพื่อไม่ให้สูญหายง่าย

        2. เลือกขนาดความจุและราคาที่เหมาะสม

        3. ควรเลือกที่มีการรับประกัน


การดูแลรักษาอุปกรณ์หน่วยความจำแบบแฟลช 

        เมื่อเลิกใช้หน่วยความจำแบบแฟลชที่ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องยกเลิกการเชื่อมต่อ โดยคลิกขวาที่การเชื่อมต่อด้านขวามือของทาส์กบาร์ คลิก Safe To Remove Hardware จากนั้นคลิก stop และ close ที่หน้าจอ ไม่ควรดึงออกจากการต่อเชื่อมเลยทันที

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

องค์ประกอบของสารสนเทศ

  ระบบสารสนเทศประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้

1. Hardware
หมายถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในการจัดกระทำกับข้อมูล ทั้งที่เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข 
2. Software
หมายถึง ชุดคำสั่ง หรือเรียกให้เข้าง่ายว่า โปรแกรม ที่สามารถสั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงานในลักษณะที่ต้องการภายใต้ขอบเขตความสามารถที่เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมนั้น ๆ สามารถทำได้ ซอร์ฟแวร์แบ่งออกเป็น ซอร์ฟแวร์ระบบ และ ซอร์ฟแวร์ประยุกต์ 
-ซอร์ฟแวร์ระบบ คือ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการกับฮาร์ดแวร์ คอมพิวเตอร์ และเพื่อจัดเตรียมและบำรุงรักษาแพลตฟอร์มจากการทำงานของโปรแกรมประยุกต์ 
-ซอร์ฟแวร์ประยุกต์ คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้กับงานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ซอฟต์แวร์ประยุกต์แบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้งานเฉพาะ ซอฟต์แวร์สำเร็จในปัจจุบันมีมากมาย เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ฯลฯ
3 User
หมายถึง กลุ่มผุ้คนที่ทำงานหรือเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ 
4. Data 
หมายถึง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวหนังสือ แสง สี เสียง สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ภาพ วัตถุ หรือ หลาย ๆ อย่างผสมผสานกัน ซึ่งข้อมูลที่ดีจะต้องมีความถูกต้อง ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ 
5. Procedure 
หมายถึง ขั้นตอน กระบวนการต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานในระบบสารสนเทศ

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การนำเสนองานเบื้องต้น

Introduction

การนำเสนอและการประชุมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินงานและการติดต่อทางธุรกิจ การนำเสนอในที่นี้หมายถึงการบรรยาย การอธิบายเกี่ยวกับงานส่วนต่างๆบางส่วน หรือทุกส่วนให้แก่ผู้ร่วมงานได้ทราบ ทั้งนี้ เพื่อรายงาน พิจารณาร่วมกัน เพื่อสั่งการหรือนำเสนอให้แก่ผู้จะเข้าร่วมทำธุรกิจทราบแนวทางและความเป็นไปได้ที่จะทำธุรกิจร่วมกัน รูปแบบของการนำเสนอนั้นอาจแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และความเหมาะสม แต่บ่อยครั้งการนำเสนอมักเกิดขึ้นควบคู่กับการประชุมจนเกือบจะเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของการประชุมไป
เนื้อหาในภาค นี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการพูดในขั้นต่างๆของการนำเสนอ โดยเริ่มต้นที่การกล่าวนำและสิ้นสุดที่การสรุป การกล่าวนำประกอบด้วยการกล่าวทักทายเรื่องหรือวัตถุประสงค์ของการนำเสนอและโครงร่างคร่าวๆของการนำเสนอ โดยมีวิธีการพูดถึงแต่ละส่วนตามลำดับต่อไปนี้1.    Greeting, Name, position( การทักทาย,ชื่อ,ตำแหน่ง )
Good morning. My name’s……I’m the new manager.
Ladies and Gentlemen. It’s an honor to have the opportunity to address such a distinguished audience.
Good morning. Let me start by saying just a few words about my own background. I started out in….
Welcome to …… I  know I’ve met some of you, but just for the benefit of those I haven’t, my name’s ….
2.    Title(หัวข้อที่จะพูด)I’d like to talk (to you) today about…
I’m going to present the recent…
I’m going to explain…
I’m going to brief you about…
I’m going to inform you about…
I’m going to describe…
I’m going to give a demonstration on…
3.    Purpose(จุดมุ่งหมาย)
The purpose of this talk is to update you on…
The purpose of this talk is to put you picture about…
The purpose of this talk is to give you the background to…
The purpose of this talk is to describe…
The purpose of this talk is to demonstrate…
The purpose of this talk is to show you…
4.    Length( ระยะเวลาที่พูด)
I shall only take (…) minutes of your time.
I plan to be brief.This should only last(…) minutes.
5.    Outline/Main parts(เค้าโครง/ประเด็นหลัก)
I’ve divided my presentation into four parts/sections.They are…
Firstly/first of all…Secondly/then/next…Thirdly/and then we come to…Finally/lastly/last of all…
6.    Questions.(คำถาม)
I’d be glad to answer any questions at the end of my talk.
I’d be glad to answer any questions at the end of my presentation.
If you have any questions, please feel free to interrupt.
Please interrupt me if there’s something which needs clarifying.
Otherwise, there’ ll be time for discussion at the end. 


การกล่าวนำ (Introduction)


บทที่ การกล่าวนำ
(Introduction)


การนำเสนอและการประชุมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินงานและการติดต่อทางธุรกิจ การนำเสนอในที่นี้หมายถึงการบรรยาย การอธิบายเกี่ยวกับงานส่วนต่างๆบางส่วน หรือทุกส่วนให้แก่ผู้ร่วมงานได้ทราบ ทั้งนี้ เพื่อรายงาน พิจารณาร่วมกัน เพื่อสั่งการหรือนำเสนอให้แก่ผู้จะเข้าร่วมทำธุรกิจทราบแนวทางและความเป็นไปได้ที่จะทำธุรกิจร่วมกัน รูปแบบของการนำเสนอนั้นอาจแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และความเหมาะสม แต่บ่อยครั้งการนำเสนอมักเกิดขึ้นควบคู่กับการประชุมจนเกือบจะเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของการประชุมไป เนื้อหาในภาค นี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการพูดในขั้นต่างๆของการนำเสนอ โดยเริ่มต้นที่การกล่าวนำและสิ้นสุดที่การสรุป การกล่าวนำประกอบด้วยการกล่าวทักทายเรื่องหรือวัตถุประสงค์ของการนำเสนอและโครงร่างคร่าวๆของการนำเสนอ โดยมีวิธีการพูดถึงแต่ละส่วนตามลำดับต่อไปนี้

1.Greeting, Name, position( การทักทาย,ชื่อ,ตำแหน่ง )
Good morning. My name’s……I’m the new manager.
Ladies and Gentlemen. It’s an honor to have the opportunity to address such a distinguished audience.
Good morning. Let me start by saying just a few words about my own background. I started out in….
Welcome to …… I  know I’ve met some of you, but just for the benefit of those I haven’t, my name’s ….

2.Title(หัวข้อที่จะพูด)
I’d like to talk (to you) today about…
I’m going to present the recent…
I’m going to explain…
I’m going to brief you about…
I’m going to inform you about…
I’m going to describe…
I’m going to give a demonstration on…
3.    Purpose(จุดมุ่งหมาย)
The purpose of this talk is to update you on…
The purpose of this talk is to put you picture about…
The purpose of this talk is to give you the background to…
The purpose of this talk is to describe…
The purpose of this talk is to demonstrate…
The purpose of this talk is to show you…

4.    Length( ระยะเวลาที่พูด)
I shall only take (…) minutes of your time.
I plan to be brief.This should only last(…) minutes.

5.    Outline/Main parts(เค้าโครง/ประเด็นหลัก)
I’ve divided my presentation into four parts/sections.They are…
Firstly/first of all…Secondly/then/next…Thirdly/and then we come to…Finally/lastly/last of all…

6.    Questions.(คำถาม)
I’d be glad to answer any questions at the end of my talk.
I’d be glad to answer any questions at the end of my presentation.
If you have any questions, please feel free to interrupt.
Please interrupt me if there’s something which needs clarifying.
Otherwise, there’ ll be time for discussion at the end. 


cr.http://thai2eng.blogspot.com/2011/03/blog-post_5330.html
    http://www.gotoknow.org/posts/40872